หนังฮ่องกงหายไปไหน หมดยุคหนังนักเลงแล้วใช่ไหม

ช่วงนี้พอมีเวลาว่างก็อยากจะดูหนังอะไรสักเรื่อง ก็นึกถึงตอนเมื่อก่อนวันหยุดเราแบบนี้ก็จะต้องดูหนังแบบที่เท่ห์แล้วก็ดูแล้วสะใจด้วย ก็ต้องเป็นหนังฮ่องกง พระเอกต้องเป็นพี่หลิวด้วย (หลิวเต๋อหัว) ใครบ้างที่ไม่รู้จัก เมื่อสัก 20-30 ก่อน บอกได้เลย พี่หลิวคือไอดอลที่หลายคนต้องทำตาม ไม่ว่าจะเป็นการสูบบุหรี่ที่เท่ห์ที่สุด (แต่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ) หรือจะเป็นการขี่รถบิ๊กไบค์ สมัยนั้นบอกได้คำเดียว โคตรเท่ห์ ทุกคนฝันว่าอยากได้ขี่รถแบบนั้นบ้าง ใครที่ได้ขี่รับรองมีสาวๆ มาให้ขี่แบบไม่ขาดสายเหมือนกันแต่พอมานึกดูตอนนี้หนังแนวนั้นได้เป็นตำนานไปหมดแล้ว แทบจะไม่มีออกมาสู่โลกเราอีกแล้วกลายเป็นหนังอีกระดับไปแล้ว ตอนนี้คนหันไปดูหนังสงคราม ไม่ก็นักแนววิทยาศาสตร์กันเสียส่วนใหญ่ ทำให้หนังแนวนักเลงตีกัน มีมีดก็ใช้มีด มีไม้ก็ใช้ไม้ ได้จบลงไปแล้ว เพราะถือว่าเป็นกระแสหนังที่ปลุกระดมการรวมตัวรวมแก๊งค์ที่จัดว่าไม่เหมาะสม ก็เลยค่อยๆจางหายไป ซึ่งถ้ามองให้ดี มองข้ามเรื่องตีกัน ฆ่ากันแล้วมามองถึงความรักของพี่น้อง ความรักของคู่รักก็จัดว่าดีไม่น้อย สมัยนั้น พี่หลิวจะมีแฟนแค่คนเดียว ไม่มีกิ๊กมีอะไรมาให้รำคาญใจ ซึ่งแตกต่างจากสมัยนี้ยิ่งเป็นนักเลงก็ยิ่งมีผู้หญิงมาก ความรักเป็นแค่เพียงของเล่น ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว
หนังฮ่องกงสมัยก่อนเวลาที่ทำออกมาจึงแสดงออกถึงความรักได้ซึ่งใจที่สุด ยอมเสียสละเพื่อคนรักทุกอย่าง ดูแล้วน้ำตาก็ไหลตามไปด้วย ยิ่งสมัยนั้นเพลงประกอบกับตัวละครต้องเป็นคนเดียวกันด้วยแล้ว ยิ่งเพิ่มความสนุกได้แบบไม่รู้จบด้วย ถ้าเทียบกับหนังไทยบ้านเราในสมัยนั้นก็คงจะประมาณ หนังวัยรุ่นที่รักกัน แอบชอบกัน อะไรแบบนั้น แต่หนังไทยบ้านเรายังไม่เน้นเรื่องนักเลงตีกันเท่าไหร่นัก ถึงจะมีบ้างแต่ก็ยังถูกควบคุมไว้เป็นส่วนใหญ่
แล้วมาถึงยุคสมัยนี้ คงจะไม่ค่อยมีแล้วหนังแบบนั้น จะเป็นหนังแนวต่อสู้เพื่อปกป้องเสียส่วนใหญ่ ปกป้องโลก ปกป้องประเทศ ซึ่งจะว่าไปแล้ว ความยิ่งใหญ่นั้นต่างกันอย่างมาก เนื้อหาสาระก็ไม่ได้ดูเครียดแบบแต่ก่อน ยังมีมุขตลกซ่อนอยู่ในแต่ละฉากด้วย ซึ่งนั้นก็พอจะเดาความได้ว่า ความสนุกของหนังไม่ได้มีแค่เนื้อเรื่องที่ต่อสู้กันตีกันเท่าไหร่ก็ไม่ตายอะไรแบบนั้น แต่สื่อให้ถึงการปกป้องที่ต้องรักษาทุกอย่างเอาไว้ แม้ว่าตัวเองจะต้องสูญเสียทุกสิ่งไป แต่นั้นก็คือการช่วยเหลือโลกเอาไว้
จะว่าไปหนังในยุคนี้เกินกว่าจะจินตนาการจริงๆ เนื้อหาสาระของหนังให้ความสนุกมากกว่าที่จะนำมาใช้ได้ในชีวิตประจำวันเสียด้วยซ้ำเพราะชีวิตประจำวันก็เหนื่อยหนักมากพออยู่แล้ว การได้ดูหนังสัก 2-3 ชั่วโมงปล่อยให้จินตนาการล่องลอยไปแบบนั้นบ้าง ก็คงจะดีไม่ต้องไปยึดติดกับสิ่งรอบตัวให้เกินเหตุไป ยิ่งตอนนี้ข่าวแต่ละอย่างก็ไม่มีแล้วข่าวที่สร้างสรรค์มีแต่ข่าวเครียดๆ วันหยุดทั้งทีเลือกหาหนังตลกผ่อนคลายมาดูดีกว่าหัวเราะมากๆ ชีวิตจะยืนยาวแค่นี้พอ